วันนี้ผมอยากจะเสนอแล้วคิดใหม่ให้ท่านหันมาเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการเรียนภาษาจีนถามว่าเรียนภาษาจีนยากไหม ขอตอบว่าไม่ยากครับ หรืออย่างน้อยจะไม่ยากอย่างที่หลาย ๆ ท่านคิด ถ้าคุณรู้สึกคำตอบนี้ยังไม่ชัดเจนพอก็ขอบอกว่า สำหรับธรรมชาติของคนไทยแล้ว ภาษาจีนเรียนง่ายกว่าภาษาอังกฤษมาก ถ้าให้คนไทยคนหนึ่งที่ไม่เคยเรียนทั้งภาษาทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษมาเริ่มเรียนสองภาษานี้พร้อม ๆ กัน โดยปัจจัยในด้านอื่น ๆ เหมือนกันหมดจะพบว่าเมื่อเรียนไปสักระยะหนึ่งพูดภาษาอังกฤษยังได้ไม่เท่าไหร่แต่ภาษาจีนไปไกลโลดแล้ว มีนักเรียนจำนวนมากที่เรียนภาษาจีนต่างยอมรับว่า เรียนภาษาจีนแค่ร้อยกว่าชั่วโมงก็สามารถพูดได้มากกว่าภาษาอังกฤษที่เรียนมาตั้งแต่เด็ก ถูกต้องแล้วครับ ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะว่าคนไทยเราได้เปรียบกว่าชาติอื่น ๆ ในการเรียนภาษาจีน กล่าวคือ ภาษาไทยกับภาษาจีนคล้ายคลึงกันมาก
โดยทั่วไปแล้ว คำว่า "ภาษา" ที่เราพูดถึงในภาษาไทยหมายถึงสองส่วนคือ
1. ภาษาที่พูดออกมาเป็นเสียง ประกอบด้วยระบบการออกเสียง ระบบคำศัพท์ ระบบไวยากรณ์
2. ระบบการเขียน (หรือระบบอักษร)
ที่คนไทยทั่ว ๆ ไปรู้สึกว่าภาษาจีนนั้นเรียนยาก เพราะไปเห็นระบบการเขียนที่สลับซับซ้อนของภาษาจีน ซิ่งเหมือนกับเป็นภาพลวงตาที่พลอยทำให้เข้าใจผิดว่าภาษาจีนเรียนยากกว่าภาษาอื่น ๆ ในส่วนนี้คงต้องยอมรับว่าระบบการเขียนของภาษาจีนเป็นระบบการเขียนที่สลับซับซ้อนมาก แต่ถ้าวิธีการเรียนการสอนถูกต้อง ก็ไม่ใช่ว่าจะยากเกินไป
แต่ในอีกด้านหนึ่ง อยากให้คนไทยที่เรียนภาษาจีนมีความมั่นใจว่าคนไทยเราได้เปรียบมากในการเรียนภาษาจีน เพราะนอกจากระบบการเขียนแล้ว ส่วนอื่น ๆ ของภาษาจีนคล้ายคลึงกับภาษาไทยมาก กล่าวคือ นอกจากภาษาบางภาษาในตระกูล Tai (ไท) แล้ว ในโลกนี้คงไม่มีภาษาใดจะใกล้เคียงกับภาษาจีนมากกว่าภาษาไทยได้อีก ความคล้ายคลิงกันระหว่างภาษาจีนกับภาษไทย รวมทั้งความได้เปรียบของคนไทยในส่วนนีจะช่วยให้คนไทยเรียนรู้ภาษาจีนได้เร็วเรียนรู้ได้ง่าย จะไม่ฝืนความรู้สึกและความเคยชินในการใช้ภาษาจนมากเกินไปเหมือนเรียนภาษาต่างประเทศอื่น ๆ ดังนั้นการที่จะทำให้คนเองสามารถพูดภาษาจีนในเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันและการทำงานได้พอสมควร จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับคนไทย
ต่อไปเราจะมาดูความคล้ายคลึงระหว่างภาษาจีนกับภาษาไทย และคุณจะได้เข้าใจว่า ทำไมผมอยากให้คุณเปลี่ยนทัศนคติที่เกี่ยวกับการเรียนภาษาจีน
1. ด้านระบบการออกเสียง
ยอมรับว่าคนไทยเรามีพรสวรรค์สูงมากเกือบทุกคนในด้านนนี้ เนื่องจากระบบการออกเสียงของภาษาจีน(กลาง) ใช้เสียงค่อนข้างน้อย ขณะที่ระบบการออกเสียงของภาษาไทยใช้เสียงค่อนข้างเยอะดังนั้นในภาษาจีนจึงมีอยู่ไม่กี่เสียงที่หาเสียงเหมือนกันหรือใกล้เคียงกันในภาษาไทยไม่ได้ นอกจากนั้นในภาษาไทยมีเกือบครบ(ตรงกันข้ามกับคนจีนทีเรียนภาษาไทย) การที่ระบบการออกเสียงของภาษาไทยใช้เสียงค่อยข้างเยอะนั้นทำให้คนไทยหูไว ซึ่งเป็นพื้นฐานในการเลียนแบออกเสียง(เพราะถ้าฟังไม่แม่น ย่อมจะออกเสียงไม่ถูก) สังเกตได้จากนักเรียนที่เรียนภาษาจีนเกือบทุกคนสามารถออกเสียงชัดหรือชัดมาก มีหลายคนเคยมีโอกาสพูดคุยกับคนจีน และได้รับคำชมว่าพูดชัดกว่าคนจีนทั่วไปด้วยซ้ำ
ส่วนเสียงที่คนไทยเราจะรู้สึกลำบากหน่อยมีดังนี้
ส่วนเสียงที่คนไทยเราจะรู้สึกลำบากหน่อยมีดังนี้
- สระ ü รวมทั้งสระผสมที่เริ่มต้นด้วย ü คือ üe üan ün
เคล็ดลับในการออกเสียงคือ ทำริมฝีปากให้เป็นรูปกลมเล็ก ๆ แล้วยื่นปากออกมากด้วย (อย่ากลัวว่าไม่สวยนะครับ) ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ให้ทำปากอยู่ในตำแหน่งผิวปาก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใกล้เคียงมากกับการออกเสียงของสระ ü
- พยัญชนะที่ห่อลิ้น 4 เสียง คือ zh ch sh r
ทั้งสี่เสียงมีลักษณะเดียวกัน คือตอนที่ออกเสียง ปลายลิ้นต้องห่อขึ้นไปแตะเพดานอ่อนจึกรู้สึกค่อนข้างเกร็งและเมื่อยลิ้น ส่วน zh ch sh เราสามารถนำไปเทียบกับ z c s ได้ กล่าวคือ
z - zh c - ch s - sh
ระหว่างแต่ละคู่จะออกเสียงใกล้เคียงกันมาก ต่างกันแค่ zh ch sh ห่อลิ้น ส่วน z c s ไม่ห่อลิ้น
ส่วนเสียงวรรยุกต์นั้นยิ่งไม่ค่อมีปัญหาสำหรับคนไทย เพราะภาษาจีนกลางมีเสียงวรรณยุกต์เพียงสี่เสียง ง่ายกว่าภาษาไทย และมีเพียงวรรณยุกต์ที่สามที่ไม่มีในภาษาไทย คงต้องระวังหน่อย เสียงนี้เริ่มค่อนข้างต่ำ ลงมาต่ำสุดก่อนที่จะขึ้นไปค่อนข้างสูง
2. ระบบคำศัพท์
ภาษาจีนกับภาษาไทยต่างก็เป็นภาษาคำโดด คือหนึ่งคำหนึ่งพยางค์(มีการเปลี่ยนในช่วงหลัง แต่จนทุกวันนี้รากศัพท์และศัพท์พื้นฐานในสองภาษานี้ส่วนใหญ่ยังเป็นหนึ่งพยางค์) จึงตรงกับความเคยชินของคนไทย และที่สำคัญคือ วิธีการสร้างคำก็ใกล้เคียงกันมาก คือนำเอารากศัพท์มาประกอบกันขึ้นมา (สิ่งที่ต้องระวังคือ ในภาษาจีนส่วนที่ขยายต้องอยู่ข้างหน้าของส่วนที่ถูกขยายอยู่เสมอ) อย่างเช่น
书 (shū หนังสือ) + 店 (diàn ร้าน) = ร้านหนังสือ
学 (xué เรียน) + 生 (shēng คน) = นักเรียน
地 (dì แผ่นดิน) + 震 (zhēng สั่น) = แผ่นดินไหว
书 (shū หนังสือ) + 店 (diàn ร้าน) = ร้านหนังสือ
学 (xué เรียน) + 生 (shēng คน) = นักเรียน
地 (dì แผ่นดิน) + 震 (zhēng สั่น) = แผ่นดินไหว
สิ่งที่น่าทึ่งอย่างหนึ่งก็คือ ดูเหมือนว่าแนวความคิดของคนจีนกับคนไทยในด้านการสร้างคำ การใช้คำ รวมทั้งการเล่นอุปมาอุปไมยนั้นสอดคล้อกันอย่างเหลือเชื่อ ในสองภาษานี้จึงมีคำศัพท์และคำพูดมากมากเหมือนถอดออกจากแบบอันเดียวกวัน เพราะต้องกันเกือบคำต่อคำเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น
脸色(สี่หน้า) 放心(วางใจ) 开心(เบิกบานใจ) 中心(ศูนย์กลาง) 手快(มือไว)
多嘴(ปากมาก) 嘴甜(ปากหวาน) 面子大(หน้าใหญ่) 有面子(มีหน้ามีตา) 找事(หาเรื่อง)
直来直去(ตรงไปตรงมา) 梦想成真(ฝันที่เป็นจริง) 从头到脚(จากหัวจดเท้า)
皮包骨(หนังหุ้มกระดูก) 或多或少(ไม่มากก็น้อย)
多嘴(ปากมาก) 嘴甜(ปากหวาน) 面子大(หน้าใหญ่) 有面子(มีหน้ามีตา) 找事(หาเรื่อง)
直来直去(ตรงไปตรงมา) 梦想成真(ฝันที่เป็นจริง) 从头到脚(จากหัวจดเท้า)
皮包骨(หนังหุ้มกระดูก) 或多或少(ไม่มากก็น้อย)
ซึ่งคำศัพท์ที่ตรงตัวจำนวนมากมายเหล่านี้จะช่วยให้โอกาสแปลตรง ๆ ระหว่างสองภาษานี้มีมากกว่าอีกหลายภาษาเป็นอย่างมากดังนั้นเวลาเรียนหรือใช้ภาษาจีน คนไทยจะรู้สึกค่อนข้างเคยชิน เพราะใกล้เคียงกับนิสัยในการใช้ภาษาของตนเอง
นอกจากนี้แล้ว เนื่องจากภาษาจีนกับภาษาไทยต่ากก็อาศัยการเรียงคำเป็นหลัก และมีความคล้ายคลึงกันในด้านไวยากรณ์เป็นอย่างมาก จึงทำให้ระบบคำศัพท์ของสองภาษานี้สอดคล้องกันมากถ้าเทียบกับภาษาอื่น โดยเฉพาะคำศัพท์ประเภทคำกริยาวิเศษณ์กับคำสันธาน ทั้งความหมายและวิธีการใช้ใกล้เคียงกันมาก ซึ่งความคล้ายคลึงกันขนาดนี้คงหาได้ยากในภาษาอื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น
也(yě ก็...เหมือนกัน) 就(jiù ก็) 正在(zhèngzài กำลัง) 刚(gāng เพิ่ง) 才(cái จึง, ถึงจะ, แค่)
常常(chángcháng บ่อย ๆ ) 一。。。就。。。 (yī...jiù.... ...ปุ๊ป...ปั๊ป)
连。。。都。。(lián...dōu... แม้แต่...ก็...) 除了。。。以外(chúle...yǐwài นอกจาก....แล้ว...)
只是。。。罢了(zhǐshì...bàle เพียงแต่...เท่านั้น)
不仅。。。,而且。。。(bùjǐn...,érqǐe... ไม่เพียงแต่....และยัง...)
หรือแม้กระทั้งรูปวลีพิเศษบางรูปยังตรงกันหรือใกล้เคียงกันอย่างไม่น่าเชื่อเลย เช่น
รูป A A B B ของคำกริยา
来来往往(ไป ๆ มา ๆ ) 走走亭亭(เดิน ๆ หยุด ๆ) 躲躲藏藏(หลบ ๆ ซ่อน ๆ)
上上下下(ขึ้น ๆ ลง ๆ)
รูป A 来 A 去 (...ไป....มา) ของคำกริยา
想来想去(คิดไปคิดมา) 问来问去(ถามไปถามมา) 说来说去(พูดไปพูดมา)
拐来拐去(เลี้ยวไปเลี้ยวมา)
รูป 一边。。。一边。。。 (...พลาง....พลาง, ...ไป.....ไป) ของคำกริยา
一边说一边笑(พูดไปหัวเราะไป) 一边看一边问(ดูไปถามไป)
一边读书一边工作(เรียนหนังสือไปพลางทำงานไปพลาง)
รูป 越 A 越 B (ยิ่ง A ยิ่ง B) ของคำกริยาหรือคำคุณศัพท์
越跑越快 越多越好 越学越喜欢
รูป 又。。。又。。。 (ทั้ง...ทั้ง...) ของคำกริยาหรือคำคุณศัพท์
又恨又爱(ทั้งรักทั้งเกลียด) 又吃又喝(ทั้งดื่มทั้งกิน) 又快又好(ทั้งเร็วทั้งดี)
又冷又饿(ทั้งหนาวทั้งหิว) 又经济又美观(ทั้งประหยัดทั้งสวยงาม)
ฯลฯ ยังมีอีกเยอะมากครับ
ดังนั้นคนไทยจึงสามารถเข้าใจระบบคำศัพท์ของภาษาจีนได้ง่ายดาย และใช้งานสะดวกอีกด้วย เพราะตรงกับวิธีคิดของคนไทย
3. ระบบไวยากรณ์
ภาษาจีนกับภาษาไทยมีความคล้ายคลึงกันในด้านไวยากรณ์เป็นอย่างมาก โดยต่างก็อาศัยการเรียงคำเป็นหลัก เวลาเรียนภาษาจีนถ้าทำความเข้าใจกับความแตกต่างระหว่างภาษาจีนกับภาษาไทยในด้านไวยากรณ์ รูปประโยคพิเศษ รวมทั้งวิธีการใช้พิเศษของคำบางคำก็จะเรียงคำด้วยตัวเองได้เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งโครงสร้างหลังของประโยคส่วนใหญ่จะเหมือนหรือใกล้เคียงกับภาษาไทยเป็นอย่างมาก มีหลายท่านบอกว่า นึกไม่ถึงว่าภาษาจีนกับภาษาไทยจะใกล้เคียงกันถึงขนาดนี้ จริง ๆ แล้วไม่แปลกเลย เพราะโครงสร้างทางความคิดของจีนกับไทยใกล้เคียงกันมาก อย่างเช่น
等 他 来 了 我 就 回 家。
รอ เขา มา แล้ว ฉัน ก็ กลับ บ้าน
รอ เขา มา แล้ว ฉัน ก็ กลับ บ้าน
请 你 出 去 叫 他 快 进 来 吃 饭。
เชิญ คุณ ออก ไป เรียก เขา รีบ เข้า มา กิน ข้าว
เชิญ คุณ ออก ไป เรียก เขา รีบ เข้า มา กิน ข้าว
我们班 还 没 有 谁 有 泰文词典。
ชั้นเรียนเรา ยัง ไม่ มี ใคร มี พจนานุกรมภาษาไทย
ชั้นเรียนเรา ยัง ไม่ มี ใคร มี พจนานุกรมภาษาไทย
你 说 我 学 中文 好 还是 学 日文 好?
เธอ ว่า ฉัน เรียน ภาษาจีน ดี หรือ เรียน ภาษาญี่ปุ่น ดี
เธอ ว่า ฉัน เรียน ภาษาจีน ดี หรือ เรียน ภาษาญี่ปุ่น ดี
ปรากฎว่าสี่ประโยคนี่สามารถแปลเป็นไทยคำต่อคำได้เกือบ 100% (มีแค่บางวลี ส่วนขยายในภาษาจีนอยู่ข้างหน้าส่วนที่ถูกขยาย) ไม่เกินไม่ขาดแม้แต่คำเดียว!
นี่คือความได้เปรียบในแต่ละด้านของคนไทย ซึ่งทำให้คนไทยเรียนภาษาจีนง่ายกว่าคนชาติอื่น ๆ สามารถเห็นผลได้เร็ว แต่เราต้องมีตำราเรียนที่ดีและครูที่สอนเก่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเป็นตำราเรียนกับครูที่รู้จักดึงเอาความได้เปรียบของคนไทยในส่วนที่ภาษาจีนกับภาษาไทยคล้ายคลึงกันเข้ามาช่วย และแน่นอนนักเรียนต้องมีความตั้งใจจริงด้วย หวังว่าฟังผมร่ายยาวมาถึงตรงนี้แล้ว คุณคงมีความมั่นใจในการเรียนเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าไม่ว่าจะเรียนภาษาไหน การที่จะเรียนให้แตกฉานนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ภาษาจีนก็เหมือนกัน ถ้าจะเรียนให้ถึงระดับพอจะพูดได้ คงจะไม่ใช่เรื่องยากเลยแต่ถ้าให้ถึงขั้นที่สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ คงต้องใช้ความมานะอดทนและความขยันไม่แพ้การเรียนภาษาอื่น ๆ โดยเฉพาะกับระบบการเขียนของจีน ต้องหมั่นฝึกฝนถึงจะเกิดความชำนาญในที่สุดได้.